ค้นบริษัทนอมินีจีน สวมสิทธิ์สัญชาติไทยทำธุรกิจต้องห้ามคนต่างด้าว พบโยงตั้ง 40 บริษัท ทุนหมุนเวียนกว่า 5,300 ล้านบาท กระทบความมั่นคง ส่งฝ่ายปกครองตรวจสอบ 246 รายชื่อ สงสัยถือหุ้นแทนนายทุนจีน
พุธที่ 15 กรกฎาคม 2563 เวลา 18.02 น.
เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล ผอ.กองคดีความมั่นคง และนายวีระชาติ ดาริชาติ ผอ.การสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง แถลงการขยายผลตรวจค้น บริษัท ไถ่ซี่ พัฒนา กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเบื้องพบว่ามีนายทุนชาวจีน 9 คน สวมสิทธิสัญชาติไทย จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัด 4 บริษัท คือ บริษัท 10 พลัส 1 กรุ๊ป จำกัด ประกอบธุรกิจขายส่งข้าวและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการโรงสี บริษัท อัมรินทร์ จีทีไอ จำกัด ประกอบธุรกิจซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของ บริษัท ดียี่เน็ทเวิร์ค เทคโนโลยี จำกัด ประกอบธุรกิจก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย และบริษัท ไถ่ซี่ พัฒนา กรุ๊ป จำกัด ประกอบธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทุกชนิด เป็นนายหน้าตัวแทนเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งบริษัททั้งหมดประกอบธุรกิจต้องห้ามของชาวต่างด้าว ตรวจสอบทรัพย์สินพบว่ามีมูลค่ารวมกันเกิน 3,600 ล้านบาท เข้าข่ายกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ดีเอสไอจึงรับไว้เป็นคดีพิเศษ
พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากดีเอสไอได้เข้าตรวจสอบบุคคลต้องสงสัยสวมสิทธิ์สัญชาติไทย จำนวน 255 รายชื่อ ในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น จ.เชียงราย และกรณีของ นายอาเปา แซ่เซิน พบพฤติกรรมสวมสิทธิ์ใช้ชื่อ นายอาเปา แซ่เซิน แต่จากการตรวจสอบลายนิ้วมือของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์พบว่าลายนิ้วมือไม่ตรงกับบุคคลเดิม ดีเอสไอจึงขยายผลการตรวจสอบพบว่า หลังนายอาเปาได้รับสัญญาติไทยแล้วก็จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรและที่ดิน 4 บริษัท พร้อมทั้งประสานกรมการปกครองตรวจสอบรายชื่ออีก 254 รายชื่อ พบเข้าข่ายเป็นบุคคลสวมสิทธิ์สัญชาติไทยอีก 8 ราย ถือครองหุ้นนิติบุคคล อย่างไรก็ตาม นายอาเปาถูกนายทะเบียนกรมการปกครองเพิกถอนสัญญาติไทยไปตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา
“ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น คือ หากบุคคลต่างด้าวเข้ามาสวมสิทธิ์เป็นคนไทย จะมีสิทธิ์เท่าเทียมกับคนไทยในการทำธุรกิจทุกประการ ซึ่งต่างจากกรณีบุคคลต่างด้าวเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นร่วม นอกจากนี้ยังสามารถซื้อบ้าน รถ ถือครองที่ดิน และครอบครองอาวุธปืนได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ จึงต้องประสานกรมการปกครองช่วยตรวจสอบ” อธิบดีดีเอสไอ กล่าว
ร.ต.อ.วิษณุ กล่าวว่า จากการตรวจสอบทั้ง 4 บริษัท พบว่าบริษัทที่ 1-3 ไม่มีที่ตั้งอยู่จริงตามที่แจ้งไว้ มีเพียงบริษัทไถ่ซี่ฯ ที่มีสำนักงานอยู่จริง และมีการโอนหุ้นทั้ง 4 บริษัทให้นายอาเปาถือครองทั้งหมด เมื่อตรวจสอบงบการเงิน เอกสารที่เกี่ยวข้องพบว่ามีนายทุนอยู่เบื้องหลัง และยังให้บุคคลต่างด้าวสวมสิทธิ์เป็นคนไทยเข้ามาถือหุ้นในลักษณะเป็นนอมินีโดยมีการกระจายจัดตั้งบริษัทถึง 40 แห่ง มีทุนจดทะเบียนรวมทั้งหมด 5,300 ล้านบาท ขณะนี้ดีเอสไออยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าบุคคล 246 รายชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่
ด้านนายวีระชาติ กล่าวยอมรับว่า ปัญหาทุจริตสวมสิทธิ์บุคคลต่างด้าว 99.99 เปอร์เซ็นต์ มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง สำหรับอดีตปลัดอำเภอเวียงแก่นถูกตั้งกรรมการสอบวินัยและมีมติให้ไล่ออกจากราชการแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินคดีอาญา รวมทั้งจะต้องถูกตรวจสอบเส้นทางการเงิน และเชื่อว่าการทุจริตจะต้องทำเป็นขบวนการ คนเดียวไม่สามารถทำได้ ทั้งนี้ 246 รายชื่อที่เหลือ ขณะนี้ตรวจสอบได้เพียง 20 เปอร์เซ็นต์ และยังไม่พบว่ามีการนำบัตรคนเสียชีวิตแล้วมาสวมสิทธิ์ให้คนต่างด้าว แต่ในจำนวนนี้อาจจะมีบุคคลที่ราบสูงยังไม่มีบัตรประชาชนยื่นคำร้องขอสัญชาติไทย กรมการปกครองก็ต้องพิจารณาว่ามีสิทธิ์ได้รับสัญชาติไทยจริงหรือไม่.
คุณเห็นด้วยกับข่าวนี้หรือไม่
-
เห็นด้วย
96%
-
ไม่เห็นด้วย
4%