ภายหลังจากดีเอสไอ แถลงข่าวพบเครือข่ายสวมสิทธิ์จัดตั้งบริษัท 4 แห่ง ไทยพีบีเอสได้ขยายผลต่อโดยการรวบรวมข้อมูลจากบุคคลและนิติบุคคล พบว่ามีบริษัทที่เกี่ยวข้องมากกว่านั้น เบื้องต้น มีอย่างน้อย 104 บริษัท
วันนี้ (15 ก.ค.2563) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ไทยพีบีเอส ติดตามธุรกิจสวมบัตรประชาชนที่ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย นำไปสู่การจับกุมเครือข่ายธุรกิจสวมบัตรประชาชน 4 บริษัท เมื่อไทยพีบีเอสตรวจสอบ เครือข่ายของบุคคล-นิติบุคคล พบว่าเครือข่ายนี้เกี่ยวข้องกับบริษัทที่มีการจดทะเบียนธุรกิจถึง 104 บริษัท ซึ่งกลุ่มบริษัทเหล่านี้มีเงินจดทะเบียนกว่า 5,600 ล้านบาท และคาดว่าจะมีเงินหมุนในธุรกิจเหล่านี้กว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่ง 104 บริษัทนี้ มีเครือข่ายบุคคลอยู่เบื้องหลังเพียง 3 เครือข่ายเท่านั้น
เครือข่ายแรก มีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 5 พันล้าน
เครือข่ายที่ 1 เป็นเครือข่ายของ นาย A ซึ่งเคยถูกดำเนินคดีกรณีปลอมแปลงเอกสารของรัฐสภา แน่นอนของ นาย A มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ “นักการเมือง” เครือข่ายนี้มีเงินหมุนเวียนมากที่สุด กว่า 5,000 ล้านบาท
เครือข่ายที่ 2 เป็นเครือข่ายของ นาย B ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นญาติกับเครือข่ายแรก
เครือข่ายที่ 3 เป็นเครือข่ายของ นาย C เป็นกลุ่มธุรกิจนำเข้าส่งออก มีกลุ่มค้ายาเสพติดอยู่ในนี้ด้วย
แบ่งงานกันทำอย่างเป็นระบบในธุรกิจ 7 ประเภท
เครือข่ายทั้ง 3 เครือข่าย เป็นเครือข่ายเดียวกัน แต่คาดว่ามีการแบ่งงานกันทำอย่างเป็นระบบ เครือข่ายทั้ง 3 เครือข่ายนี้มีธุรกิจที่ดำเนินการ 7 ประเภท เช่น 1.ธุรกิจบริการ 2.การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ 3.ธุรกิจการเงิน
ซึ่งไทยพีบีเอสพบว่ากลุ่มที่ 2 ธุรกิจด้านการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ มีบริษัทตัวแทนนายหน้าจำนวนมาก มี “เงินหมุนเวียนมากที่สุด” เรียกได้ว่าเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของเครือข่ายนี้ หรือเป็นธุรกิจเรือธงของเครือข่ายนี้ด้วย ลักษณะของธุรกิจที่อธิบายไปข้างต้น มี “พฤติกรรม” ที่อาจนำไปสู่อาชญากรรมทางเศรษฐกิจหลายประเด็น
ยกตัวอย่างเช่น 1.ตัวละครสำคัญในเครือข่ายแรก เคยถูกดำเนินคดีในฐานปลอมแปลงเอกสารรัฐสภา ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2538 ถึงปัจจุบัน เคยจดทะเบียนทำธุรกิจโดยเปลี่ยนสัญชาติมาแล้วถึง 4 สัญชาติ
2.การตั้งบริษัทในเครือข่ายเหล่านี้ มีพฤติกรรมเข้าข่ายตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อ “หมุนเงิน” เช่น ปีแรกตั้งบริษัทด้วยเงินทุนไม่เท่าไหร่ ปี 2 มีรายได้สูงมาก ปี 3 มีของค้างสต๊อก และปี 4 ปล่อยร้าง หรือเลิกกิจการ
พบเครือข่ายเชื่อมโยง “นักการเมือง – กลุ่มนายพล”
ที่สำคัญ ไทยพีบีเอสยังพบความสัมพันธ์ระหว่าง “เครือข่าย” เหล่านี้กับกลุ่ม “นายพล-นักการเมือง” โดยมีกลุ่มนายพลและนักการเมืองเข้าไปถือหุ้นในบริษัทที่อยู่ในเครือข่ายดังกล่าว และพบว่านักการเมืองบางคนเป็นผู้ร่วมมูลนิธิที่เกี่ยวกับการค้าไทย-จีน เพื่อส่งเสริมการประกอบธุรกิจภายในประเทศไทยด้วย
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสาวไปยังตัวการใหญ่ทั้ง 3 เครือข่าย ที่สำคัญไม่ใช่แค่ธุรกิจผิดกฎหมายปลอมแปลงเอกสาร แต่อาจลุกลามเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการ “หมุนเงิน” จนทำให้ระบบเศรษฐกิจพังพินาศในอนาคต