Jitta Wealth เปิดบริการใหม่Jitta Ranking –
U.S. Techเน้นลงทุนหุ้นธุรกิจเทคโนโลยีแห่งอนาคตในตลาดหุ้นแนสแดค
(Nasdaq) และนิวยอร์ค (NYSE) ของสหรัฐฯ
โดยใช้เทคโนโลยีเฉพาะตัว Jitta Ranking คัดสรรหุ้นเทคโนโลยีพื้นฐานดี
เติบโตสูงอย่างมีหลักการ พิสูจน์แล้วว่าสร้างผลตอบแทนระยะยาวชนะดัชนี Nasdaq
และ S&P 500
พร้อมค่าธรรมเนียมต่ำและยุติธรรม
นายตราวุทธิ์ ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Jitta
Wealth ย้ำบริษัทฯ
ตั้งใจมอบโอกาสที่ดีที่สุดในการลงทุนยุค New Normal เป็นเจ้าของหุ้นเทคโนโลยีต่างประเทศแก่นักลงทุนไทย
เก็บเกี่ยวกำไรจากเมกะเทรนด์ที่มาแรงที่สุดในโลก ตามแนวคิด “ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีด้วยเทคโนโลยี”
นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์
ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด (Jitta
Wealth) สตาร์ทอัพ WealthTech แรกของไทยที่ได้รับอนุญาตบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.)ได้เปิดเผยถึงภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ตั้งแต่เกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้มียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19
สะสมเกือบ 4 ล้านคน และผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นวันละ 5-6 หมื่นคน
กดดันดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตามจากอานิสงส์ของโควิด-19
กลับกลายเป็นตัวเร่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วม (Digital
Transformation) ครั้งยิ่งใหญ่ในทุกอุตสาหกรรม
โดยหุ้นธุรกิจเทคโนโลยีซึ่งมีสัดส่วนถึง 28% ในดัชนี S&P 500
ได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องประมาณ 16% สวนทางกับธุรกิจอื่นๆจึงทำให้ดัชนีS&P
500 โดยรวมปรับลดลงเพียงแค่ 0.19% นับตั้งแต่ต้นปี 2563
นายตราวุทธิ์ กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19
ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเทคโนโลยีเป็นอันมาก
เนื่องจากประชาชนต้องปรับตัว หันมาทำกิจกรรมเกือบแทบทุกอย่างออนไลน์
ไม่ว่าจะเป็นการทำงานจากที่บ้านหรือ Work from Home การเข้าร่วมงานสัมมนาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
(Video Conference) การซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ (E-Commerce) สั่งอาหาร
หรือสินค้า ผ่านบริการเดลิเวอรี่ (Delivery) และการรับชมภาพยนต์จากระบบสตรีมมิง
(Streaming) ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ เช่น
โทรศัพท์มือถือ (Smartphone) หรือ แทบเล็ต (Tablet)
“ทุกคนต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอด
ทำให้ยอดผู้ใช้บริการธุรกิจเทคโนโลยีหลายแห่งพุ่งพรวด เช่น Netflix ผู้ให้บริการความบันเทิงครบรสผ่านระบบสตรีมมิง
ที่ไตรมาสแรกทุบสถิติ ทำยอดสมาชิกใหม่ 15.8 ล้านคนเพิ่มขึ้น 65% จาก 9.6
ล้านคนในไตรมาสที่ 1 ของปีที่แล้วไตรมาสที่ 2 กวาดมาได้อีก 10.1 ล้านคนเพิ่มขึ้น
274% จาก 2.7 ล้านคนในไตรมาส 2 ของปีที่แล้วพร้อมรายได้ที่เพิ่มขึ้น 24.9% เป็น
6.15 พันล้านเหรียญสหรัฐฯส่งหุ้น Netflix ปีนี้ทะยานขึ้น 60%
จนมูลค่าตลาดแซงหน้าคู่แข่งอย่าง Disney ไปแล้ว” นายตราวุทธิ์
กล่าว
นายตราวุทธิ์ ได้กล่าวถึงหุ้นเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูงในขณะนี้
ด้วยแรงหนุนจาก Disruptive Technology ที่ตอบโจทย์ต่อพฤติกรรมของผู้ใช้งานในยุค
New Normal อย่างมาก เช่น
เทคโนโลยีส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นอีคอมเมิร์ซ การเงินและการลงทุน
ล้วนแล้วแต่ให้บริการบนพื้นฐานของคลาวด์คอมพิวติง
ที่ทำให้การเข้าถึงและการใช้งานสะดวกใช้งานจากที่ไหนก็ได้
สามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วไปทั่วทุกมุมโลก
จึงทำให้ธุรกิจเทคโนโลยีในยุคนี้สามารถสร้างรายได้เติบโตได้แบบทวีคูณ
ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นสูงตาม
ทั้งนี้
บริษัทเทคโนโลยีที่อยู่ในธุรกิจคลาวด์คอมพิวติง (Cloud Computing) สามารถแบ่งได้เป็น
2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ผู้ให้บริการคลาวด์โซลูชัน (Cloud Solutions) เช่น
Amazon Google และ Microsoft และกลุ่มผู้ใช้งานคลาวด์โซลูชัน
ซึ่งก็คือบริษัทพัฒนาโปรแกรมที่ให้บริการอยู่ในชีวิตประจำวันในรูปแบบ SaaS
(Software as a Service) เช่น Zoom Netflix และ
Salesforce
โดยบริษัทเหล่านี้สามารถสร้างรายได้มหาศาล
ยกตัวอย่างเช่น Amazon ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ผู้ให้บริการคลาวด์โซลูชันเกือบ
50% และยังสามารถเพิ่มรายได้จากการให้บริการคลาวด์โซลูชัน ในไตรมาสแรกของปี 2563
ขึ้นอีก 33% ทะลุ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ยังไม่นับรวมรายได้จากธุรกิจอื่น
เช่น ค่าสมาชิก Amazon Prime และค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ในขณะที่ Zoom ซอฟต์แวร์วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ก็ได้พลิกตัวจากหุ้นน้องใหม่
มาเป็นแบรนด์ดังประจำบ้านภายในชั่วข้ามคืน และสามารถทำรายได้ไตรมาส 1 ปี 2563
เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 169% และทางด้านราคาหุ้น Zoom จากราคา
68.72 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น เมื่อต้นปี พุ่งขึ้น 292% มาอยู่ที่ระดับใกล้ 270
ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น
“ธุรกิจเทคโนโลยีที่เติบโตได้อย่างโดดเด่น
มักเป็นธุรกิจที่ล้อไปกับเมกะเทรนด์ของโลก ไม่ว่าจะเป็น cloud computing,
AI, Fintech และ e-commerce โดย
cloud computing เป็นกลุ่มที่น่าจับตามองที่สุด
เพราะเป็นพื้นฐานของแทบจะทุกเทคโนโลยีที่เราใช้งานอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น
การสั่งซื้อของออนไลน์ การเรียกรถรับส่ง
หรือแม้แต่การพูดคุยกับเพื่อนผ่านโปรแกรมแชท ก็ทำผ่านระบบ cloud ทั้งสิ้น
เรียกได้ว่า ตราบใดที่คนยังใช้อินเทอร์เน็ต ธุรกิจเทคโนโลยีในกลุ่ม cloud
computing ก็มีแนวโน้มจะคงอยู่และเติบโตต่อไป” นายตราวุทธิ์เสริม
ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งJitta
Wealthเปิดเผยว่า Jitta Wealth ได้เล็งเห็นถึงโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี
จากการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีเมกะเทรนด์ที่จะขับเคลื่อนโลกต่อไปๆในภายภาคหน้าเหล่านี้
จึงเปิดให้บริการ Jitta Ranking – U.S. Tech เพื่อให้นักลงทุนได้มีโอกาสลงทุนหุ้นธุรกิจแห่งอนาคตในสหรัฐอเมริกา
โดย Jitta Wealth ได้ใช้เทคโนโลยีเฉพาะตัวที่เรียกว่า Jitta
Ranking วิเคราะห์และคัดกรองหุ้นเทคโนโลยีประมาณ 30
หุ้นที่มีผลประกอบการดี เติบโตสูง น่าลงทุนที่สุดในตลาดหลักทรัพย์แนสแดค (Nasdaq)
และตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค (NYSE) โดยกระจายความเสี่ยงและปรับพอร์ตอัตโนมัติทุก
3 เดือน ซึ่งเป็นแนวทางที่พิสูจน์ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปีแล้วพบว่า ทำกำไรได้เฉลี่ย
17.67% ต่อปี มากกว่าอัตราผลตอบแทนดัชนี Nasdaq ที่ทำได้
16.09% ต่อปี และ S&P 500 ที่ทำได้ 13.56% ต่อปี