ในที่สุด“ทรูวิชั่นส์” ก็ยืนยันออกมาชัดเจน หลังเข้าหารือกับ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ด้วยการประกาศจะถ่ายทอดสดฟุตบอลลีกไทยในจำนวนคู่ที่เหลือ ตามที่สมาคมวางโปรแกรมเอาไว้จนถึงวันที่ 25 ต.ค. 2563 อันเป็นวันสิ้นสุดสัญญาตามเดิมที่ทำกันเอาไว้ ส่วนจะขยายสัญญาออกไปถึงสิ้นปีก็ยาก
แปลไทยเป็นไทยก็คือจบตามสัญญาในวันที่ 25 ต.ค. หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรทรูวิชั่นส์ไม่เกี่ยวแล้ว นั่นเท่ากับว่าแมตช์ที่เกิดหลังวันที่ 25 ต.ค. สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ คงต้องไปหาเอกชนเจ้าใหม่เข้ามารับผิดชอบ จะรับถ่าย รับซื้อลิขสิทธิ์ หรือรับอะไรไปก็ตาม ก็สุดแล้วแต่จะไปคุยกันเอาเอง
ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่าจำนวนแมตช์ที่จะเกิดขึ้นจนถึงวันที่ 25 ต.ค. สมาคมกีฬาฟุตบอลฯจะบรรจุโปรแกรมอะไรไว้บ้าง มีจำนวนกี่แมตช์ที่จะผลิตสัญญาณถ่ายทอดสดให้
และต้องไม่ลืมว่า เงินค่าลิขสิทธิ์ปี 2563 ก้อนแรกที่ทางทรูฯจ่ายให้กับสมาคมกีฬาฟุตบอลฯไปตั้งนานแล้ว ซึ่งคาดว่าตัวเลขจะอยู่ราวๆ 400 ล้านบาทนั้น และบอลลีกไทยเพิ่งเล่นไปไม่กี่นัดนั้น เอาแค่เงินส่วนนี้กับจำนวนแมตช์ที่เกิดขึ้น และรวมไปถึงจำนวนแมตช์ที่กำลังจะเกิดไปจนถึงวันที่ 25 ต.ค.นั้น หักลบกลบหนี้กัน จะหักล้างกับยอด 400 ล้านก้อนแรกดังกล่าวกันได้หรือไม่
ถ้าไม่คุ้มกัน จะต้องมีการจ่ายคืนด้วยหรือไม่ นี่ยังเป็นเรื่องที่ต้องบวกลบคูณหารกันต่อไป ยังไม่ต้องไปคิดถึงยอดลิขสิทธิ์ที่เหลือ หรืองวด 2 ที่ขอไป ซึ่งตามสัญญาคือทั้งหมด 1,200 ล้านบาทด้วยซ้ำ!
นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง อย่าโลกสวย แล้วโยนผิดให้ “โควิด-19” เป็นเหตุของทุกสิ่ง นี่มันเป็นเรื่องของธุรกิจและสิทธิประโยชน์ เป็นเรื่องการบริหารจัดการแก้ไขปัญหา ที่มีการเซ็นสัญญาทำธุรกิจซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เรื่องการกุศล หรือมูลนิธิ จะฟูมฟายเรียกร้องหาน้ำจิตน้ำใจกันก็ดูจะไม่ใช่เรื่อง
เพราะฟุตบอลอาชีพที่เรียกร้องโหยหาอยากให้มีกันนั้น มันเป็นอาชีพ เป็นการหารายได้ และเป็นการทำธุรกิจ!!!
ในเมื่อไม่คุยกันให้เคลียร์ตั้งแต่ตอนแรก ไม่ว่าขั้นตอนที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไร สโมสรสมาชิกยกมือสนับสนุนให้ปรับเปลี่ยนกฎกติกา ไม่ว่าจะคิดถึงผลอะไรที่จะตามมาหรือไม่ หรือเป็นการตัดสินใจอะไรจากใคร เพื่ออะไร ถึงตอนนี้ไม่มีความหมายทั้งสิ้น เมื่อเปลี่ยนมาโดยไม่มีการยินยอมพร้อมใจตามกฎหมาย คิดว่าเขายอม คิดว่ายังไงๆเขาก็เอาด้วย เป็นเด็กเล่นของเล่นร่วมกัน มันไม่ใช่เวลามาร่ำร้อง ขอความเห็นใจอะไรกันแล้ว
สิ่งที่ต้องทำจากนี้ไปคือการหาทางแก้ไขให้ความเสียหายเกิดขึ้นน้อยที่สุด และแน่นอนสโมสรต่างๆก็ต้องทำใจและเตรียมรับ ซึ่งจริงๆก็ไม่ใช่เพิ่งจะมารับรู้ ประเด็นต่างๆเหล่านี้มีการหยิบยกพูดถึง มาเป็นเวลาล่วงหน้าหลายเดือนแล้ว ทั้งจากสื่อ มวลชนเอง และคนฟุตบอลมากมายที่มองเห็น
จะมีบริษัทไหนยื่นมือเข้ามาซื้อสิทธิ์ถ่ายทอดสดในแมตช์ที่เหลือ ซึ่งเชื่อว่ามีแน่ แต่จะได้เงินเข้ามาเท่าไหร่ ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ว่าจะได้มากกว่าเดิม เพียงแต่จะน้อยกว่าเดิมมากเท่าไหร่เท่านั้นแหละ
และรวมถึงหากมีการเซ็นสัญญาลิขสิทธิ์ในวงรอบใหม่ ซึ่งสมาคมกีฬาฟุตบอลฯเองก็ออกข่าวมาตลอดถึงสัญญาที่จะเซ็นกันยาว 8 ปี และได้เงินมหาศาลมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ถ้าหากมีจริง ต้องรีบเซ็นสัญญาและเปิดตัวออกมา ก็น่าจะมีงวดเงินบางส่วนออกมาหมุนได้บ้าง แล้วเกลี่ยกันไปกับสัญญาในเวลาที่เหลือที่ยาวถึง 8 ปี ทำได้แน่ ใช้การบริหารจัดการเอาก็น่าจะบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง
แต่ที่เริ่มมีการโยนหินถามทางกันออกมาว่าจะร้องขอภาครัฐให้เยียวยาในส่วนนี้ ดูจะเป็นเรื่องถนัดในยุคนี้ หวังแนวทางเดิม แต่เหตุผลนั้นมันใช่ที่จะต้องขอเอาเงินภาษี หรือเงินกู้จากภาครัฐ หรือแม้กระทั่งเงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ผ่านทางกองทุนฯ และการกีฬาแห่งประเทศไทย มาอุดกัน สังคมจะว่าอย่างไร
ถ้ากล้าแบมือขอ และจะกล้าให้กันจริงๆหรือ
หรือของมันเคย วนๆเวียนๆเข้าสูตรเดิมจากลิขสิทธิ์ โอลิมปิก โมโตจีพี แล้วจะวกมาไทยลีกกันอีกหรือไง…
“เบี้ยหงาย”