วันอาทิตย์ ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2563, 06.45 น.
“เรารับทราบแถลงการณ์ที่ออกมาในวันพฤหัสบดี คงจะไม่ต้องพูดอะไรอีก แต่เรายืนยันว่า ไมค์ แอชลี่ย์ มีความมุ่งมั่น 100% กับข้อตกลงที่จะขายสโมสร”
ลี ชาร์นลี่ย์ ผู้อำนวยการบริหารของ “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ลยูไนเต็ด
“อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเราต้องให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการทำงานของผู้จัดการทีมของเราอย่าง สตีฟ บรู๊ซ ในตลาดซื้อขายนักเตะ เพื่อการเตรียมการสำหรับฤดูกาลใหม่”
แฟนๆ ของ “สาลิกาดง” บอกว่าพวกเขา “สับสน” และ “อกหัก” หลังจากการเทคโอเวอร์ล้มเหลว
กับความหวังที่มันวกไปวนมาวนอยู่ในอ่างนานเกือบ 4 เดือน
ขอนำเรื่องราวเสนอเป็นช่วงเวลาสำคัญ เป็นไฮไลท์ หรือ TimeLine “บันทึกดีลล่มที่ไทน์ไซด์” ที่ถูกจับตาจากแฟนบอลทั้งโลก มาย้ำให้กับทุกคนได้อ่านกันอีกครั้งแบบจุใจทีเดียว และที่เดียวอยู่
…….เหตุการณ์ดีลนี้เค้าโครงเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วง “สงกรานต์”ที่ปีนี้ “ไม่มีสงกรานต์” ตามปฏิทิน แล้วค่อยมาหยุดเอาตอนกรกฎาคม ที่ผ่านมานี้เอง
แต่มีเรื่องของการเมือง และการต่อต้านอยู่ตลอดเวลา………………ซึ่งต้องทำความเข้าใจด้วยว่า ไม่ได้มีใครต้านการเทคโอเวอร์นิวคาสเซิ่ล หลายฝ่ายอยากให้ขาย
อยากให้หลุดจากมือของ ไมค์ แอชลี่ย์ ตั้งนานแล้ว
ที่มีกระแสต้านก็คือ ความไม่ชอบมาพากลของ ผู้มาซื้อนี่แหละ!!!
สื่อหลักพร้อมใจกันตีข่าวว่า “จะซื้อได้” เมื่อวันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
สุดท้ายในวันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม “สื่อหลัก” พร้อมระบุว่า มันจบแล้วครับนาย!!!!!
…………วันที่ 16 เมษายน ปกติมีการสาดน้ำแต่ปีนี้ต้องเก็บตัวเงิบๆ เพราะไวรัสโควิด-19 ปรากฏมีข่าวดังเมื่อจะมีการเทคโอเวอร์นิวคาสเซิ่ล 300 ล้านปอนด์
อแมนด้า สเตฟลี่ย์ จากเดิมคือ “นายหน้า” พลิกกลับมาเป็น “เศรษฐินี” เธอมาในนักบริหารจาก “ซาอุดี พับบลิก อินเวสต์เมนต์ฟันด์ (พีไอเอฟ)” กลุ่มทุนของ ซาอุดีอาระเบีย มาซื้อทีม ซึ่งเป็นเงินทุนจากเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งประเทศซาอุดีอาระเบีย
ก่อนหน้านั้น พระองค์ทรงสนพระทัยที่จะเข้าเทคโอเวอร์ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยจะให้ตัวแทนของพระองค์ทำการเข้าซื้อเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว
เป็นเงิน “คนละกลุ่ม” ที่เคยติดต่อ ดีลกับ ลิเวอร์พูล นั่นคือ เจ้าชาย ไฟซาล บิน ฟาฮัด อับดุลลาห์ อัล ซาอุด แห่งซาอุดีอาระเบีย
เป็นเงิน “คนละกลุ่ม” กับเจ้าชายอัลดุลลาห์ บิน มูซาอัดบิน อับดุลลาซิซ อัล-ซาอุด แห่งซาอุดีอาระเบีย ที่เป็นเจ้าของทีมเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน
หากเทคโอเวอร์ นิวคาสเซิ่ล สำเร็จกลุ่มนี้จะถือหุ้น 80 เปอร์เซ็นต์ และ “รอยเบน บราเธอร์ส” ที่จะถือหุ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันหลังจากมีข่าว และทำท่าจะจบ ซึ่งเข้าก็ “เข้าทางปืน” สื่ออังกฤษที่เขียนกระตุ้นการเจรจาให้จบโดยเร็ว พร้อมสมอ้างสารพัดเหตุผล โดยยังไม่ได้มีการเข้าสู่กระบวนการกลั่นกรองใดๆ
5 วันหลังจากฝุ่นตลบ ก็มีข่าวว่าผู้บริหาร บีอิน สปอร์ต(beIN) ผู้ถือลิขสิทธิ์ใหญ่ของบอลอังกฤษ ได้ส่งจดหมายถึงทีมพรีเมียร์ลีก ว่า ให้ร่วมคัดค้านการเทคโอเวอร์ เพราะเงินที่นำมาเทคโอเวอร์นั้นไม่มีที่มา
ความไม่โปร่งใสก็คือ ซาอุฯ มีสตรีมมิ่งเถื่อนลักลอบถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก ทำให้ทุกทีมเสียรายได้!!!!
ใช้ชื่อว่า beoutQ ล้อไปกับเจ้าของลิขสิทธิ์ตัวจริงคือ beIN Sport!!!!
ตัวละครเดินเพ่นพ่านเต็มหน้าจอมอนิเตอร์…อแมนด้า สเตฟลี่ย์,ไมค์ แอชลี่ย์, ชีค มันซูร์ บิน ซาเยดอัล นาห์ยาน, ชีค คาเล็ด บินซาเยดอัล เนฮายาน, โมฮัมหมัด บิน ซัลมาน และ ไฟซาลบิน ฟาฮัด อับดุลลาห์ อัล ซาอุด…
อัล-โอเบียดลี่ คือ ซีอีโอของ beIN ร่อนจดหมายถึงประธานของสโมสรพรีเมียร์ลีกทั้งหมด และริชาร์ด มาสเตอร์ ซีอีโอของพรีเมียร์ลีก เพื่อให้มาร่วมโฟกัสการซื้อสโมสร “เดอะ แม็คไพส์” ในเรื่องของการ “ขโมยลิขสิทธิ์” การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ก ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้รายได้เชิงพาณิชย์ของแต่ละทีมลดลง
ใช้คำว่า “Pirate Service” เลยทีเดียว!!!
ในขณะที่กำลังเบียดๆ กันอยู่นั้นมีข่าวว่า ซาอุดีอาระเบีย ประกาศขอสู้ในการบิดเป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ปี 2030 แข่งกับกาตาร์ ซึ่ง กาตาร์ เองก็ประกาศพร้อมแย่งสิทธิ์กับ ซาอุดีอาระเบีย ในการจัดบอลเอเชี่ยนคัพ
นัยทาง “การเมือง” เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากที่เดือนมิถุนายน 2017 เมื่อ 6 ชาติอาหรับ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, บาห์เรน, อียิปต์, ลิเบีย และเยเมน กับอีก 2 ชาติ คือ มัลดีฟส์ และมอริเชียส ประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับกาตาร์
เหตุผลคือการกล่าวหาว่า กาตาร์ เป็นประเทศที่ทำลายเสถียรภาพในภูมิภาค ด้วยการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย ที่เรียกตัวเองว่ารัฐอิสลาม หรือ ไอเอส ซึ่งข้อกล่าวหาของซาอุดีอาระเบียนี้ละม้ายกับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยประณามอิหร่าน ว่าให้การสนับสนุนการก่อการร้ายในซีเรียและเยเมน
อีกทั้งท่าทีที่ดีต่อกันผิดสังเกตกับ อิหร่าน ที่ค้านกับชาติอาหรับ, กาตาร์ ยังใช้สื่อผิดประเภท, การเข้าไปแทรกแซงภายในของหัวเมืองต่างๆ และกาตาร์ยังถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนกลุ่มกบฏฮูธีในเยเมน
แม้จะไม่มีการสู้รบหรือเข่นฆ่ากันแต่การคว่ำบาตรทุกด้าน ทั้งทางการทูต,เศรษฐกิจ, การค้า, ระบบขนส่ง, การบิน,เครื่องอุปโภค-บริโภค
ให้หลังการคว่ำบาตรไม่ถึง 2 เดือน โทรทัศน์ช่องที่มีชื่อว่า “beoutQ” เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในซาอุดีอาระเบีย เดือนสิงหาคม 2017 มีการถ่ายทอดสดกีฬาต่างๆ มากมาย จนเป็นที่แพร่หลายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปิดรับสมาชิก แต่ไม่มีใครบอกได้เลยว่า ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของ
แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เห็นกันทั่วโลกว่า ถ่ายทอดสดผ่านช่อง beIN sport จะกลายเป็น beoutQ ในซาอุดีอาระเบีย!!!!
ต่อด้วยโครงการ “ซัลวาโปรเจกท์” ซึ่งดินแดนนี้เป็นพรมแดนที่ติดต่อทางบกระหว่าง ซาอุฯ กับกาตาร์ ดังนั้น โครงการขุดคลองจะส่งผลทำให้ทั้งสองประเทศไม่มีพรมแดนทางบกติดต่อกันอีกต่อไป เพื่อเปลี่ยนกาตาร์ให้เป็นประเทศเกาะกลางทะเล
โครงการนี้ได้รับการสนับสนุน ทางการเงินจากกลุ่มบริษัทเอกชนของซาอุฯ กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ถือเป็นหนึ่งวิธีการแซงก์ชั่นความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลโดฮา แบบ 100%
เท่ากับว่า “politicising sport” นับเป็นนัยที่ซับซ้อนอย่างแท้จริง
เรื่องราวบานปลายเข้าไปอีก เมื่อ “Republic TV” สื่อใหญ่แห่งประเทศอินเดีย เป็นเจ้าแรกตีข่าวเมื่อ 29 เมษายน ว่า ฮาติซเซนกิซ วัย 36 ปี ชาวตุรกี คู่หมั้นของ จามาล คาช็อกกี นักข่าวและคอลัมนิสต์ชาวซาอุดีอาระเบีย ที่ถูกสังหารโหดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2018 ซึ่งเธอได้ส่งจดหมายไปยังพรีเมียร์ลีก อังกฤษเพื่อร้องขอไม่ให้การดีลระหว่าง ซาอุฯ กับ นิวคาสเซิ่ล เกิดขึ้น
อันเนื่องมาจากมีการระบุว่าโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุฆาตกรรม คาช็อกกี ที่อิสตันบูล ประเทศตุรกีหลังจาก คาช็อกกี ได้เข้าไปขอเอกสารในการหย่าร้างกับภรรยาเก่า เพื่อนำไปทำพิธีแต่งงานอย่างถูกกฎหมาย กับ ฮาติซ โดย คาช็อกกีถูกเปิดเผยในภายหลังว่า ถูกฆ่าหั่นศพเป็นชิ้นๆ อย่างเหี้ยมโหด
ไม่มีการตอบโต้เรื่องนี้แต่อย่างใดในวันนั้น
มีแต่ข่าวที่ออกมาจะพลุแล้วดับลงไปก็คือ ซาอุดีอาระเบีย พร้อมที่จะเสนอยื่นแข่งขันในการข้อสัญญาณการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ รวมไปถึง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ถ้าหากการเจรจาเทคโอเวอร์ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เป็นผลสำเร็จ
จนถึงวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ “บีบีซี” รายงานว่า โจทย์ใหญ่อยู่ 2 ข้อที่เป็นสิ่งที่ “น่ากังวล” ที่สุดของดีลซื้อทีมดังแห่งไทน์ไซด์
นั่นคือเรื่องส่วนตัวของ เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน บิน อับดุลลาซิซ อัล-ซาอุด ที่อยู่เบื้องหลังการเซ็นสัญญาในครั้งนี้
หลักๆ ก็คือ ในข้อ F1.2 : เจ้าชายโมฮัมเหม็ดบิน ซัลมาน จะมีอิทธิพลต่อสโมสรอื่นหรือไม่ กล่าวคือ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่มีเจ้าชายซาอุฯอีกพระองค์ คือ เจ้าชายอัลดุลลาห์ บิน มูซาอัดบินอับดุลลาซิซ อัล-ซาอุด เป็นเจ้าของทีม
เมื่อปี 2017 กับ 2019 รายงานระบุว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน เคยสั่งกักขังเจ้าชายอับดุลลาห์ และคนใกล้ชิดระดับสูง มาแล้ว โดยบังคับให้แลกทรัพย์สินหลายพันล้านเหรียญ กับอิสรภาพ
อีกเรื่องคือ ข้อ F.1.6 : ความเชื่อมั่นจากองค์กรสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับเรื่องคดีต่างๆ ของ เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ซึ่งสำนักข่าวกรองตะวันตก เชื่อว่าการสังหารจามาล คาช็อกกี นักข่าวซาอุฯที่สถานทูตประจำอิสตันบูล ตุรกี ได้รับคำสั่งจากเจ้าชาย ทำให้เหตุผลจากหน่วยข่าวกรองต่างๆ มีผลต่อการตัดสินใจในการพิจารณา
เสาร์ที่ 23 พฤษภาคม ถ้าไม่มีอะไรพลิกล็อกอีกครั้ง จะได้จบซะทีกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด กับ 13 ปีที่ดูไม่มีอนาคตกับ ไมค์ แอชลี่ย์ เลือกวัดใจไปกับเศรษฐีน้ำมัน
เรื่องเงียบไปเกือบเดือน มาถึงวันพุธที่ 17 มิถุนายน องค์การการค้าโลก หรือ ดับเบิลยูทีโอ (WTO) ตัดสินว่า มีส่วนเกี่ยวข้องละเมิดกฎหมายลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ
เวลานั้นเหลือเพียงรอการรับรองจาก พรีเมียร์ ลีก และกระบวนการตรวจสอบ เพื่อเช็คข้อมูลว่าที่เจ้าของคนใหม่ รวมประวัติด้านอาชญากรรม ซึ่งถึงตอนนี้ก็ใช้เวลาร่วม 3 เดือนแล้ว
แต่ WTO ที่รับหน้าที่ในการดูแลเรื่องของการซื้อขายระหว่างประเทศ ได้เข้ามาตรวจสอบถึงความเรียบร้อยต่างๆ และพบว่าเป็นเรื่องจริงที่กลุ่มทุนจากซาอุดีอาระเบียมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “บีเอาท์คิว” (beoutQ) สถานีโทรทัศน์ซึ่งถูกกล่าวหาว่าละเมิดลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก ซึ่งอาจเป็นเหตุที่ทำให้ดีลการซื้อขายทีมต้องถูกยกเลิก แม้กลุ่มทุนซาอุฯ จะยืนยันมาก่อนหน้านี้มาโดยตลอดว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับบีเอาท์คิวแม้แต่น้อย
บีอิน สปอร์ต คือผู้ถือลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกของโซนตะวันออกกลาง มีการเซ็นหนังสือสัญญาอย่างเป็นทางการระยะเวลา 3 ปี ตีเป็นมูลค่า 400 ล้านปอนด์ และ ยูเซฟ อัล-โอเบดลีผู้บริหาร บีอิน สปอร์ต ได้ร้องเรียนถึง ประธานสโมสร พรีเมียร์ ลีก ขอความร่วมมือต่อต้านการเทคโอเวอร์ “เดอะ แม็กพายส์” และโจมตี รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย สมรู้ร่วมคิดปล้นสัญญาณแพร่ภาพเกือบ 3 ปี
ยืดเยื้อมายาวนานเกือบ 4 เดือนที่สุดแล้ว ดีลระหว่าง “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด กับ กลุ่มทุนจากซาอุดีอาระเบีย ได้ประกาศแยกทางไม่มีการดีลใดๆ อีกต่อไป
แถลงการณ์โดยกลุ่มทุนซาอุดีอาระเบีย, PCP Capital Partners และ รูเบน บราเธอร์ส ถึงการตัดสินใจยุติการเจรจาเทคโอเวอร์สโมสร นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
“ด้วยความเคารพ เราจำเป็นจะต้องยุติความสนใจที่จะเข้าเจรจาในการถือครองสโมสรนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เราขอแสดงความเสียใจในเรื่องนี้จริงๆ เรามีความมุ่งมั่นที่จะลงทุนในเมืองใหญ่อย่าง นิวคาสเซิ่ล และความเชื่อที่ว่าเราจะสามารถนำพาสโมสรกลับไปสู่ตำแหน่งที่สอดคล้องกับประวัติศาสตร์, ธรรมเนียม และกิตติศัพท์อันลือเลื่องของแฟนบอล แต่ขั้นตอนที่ยาวนาน ยืดเยื้อ รวมถึงสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนของโลกในตอนนี้ ทำให้การลงทุนดังกล่าวต้องยุติ เพราะศักยภาพในเชิงพาณิชย์ในตอนนี้ ไม่สามารถยืนยันอะไรได้”
ถึงตรงนี้ แอชลี่ย์ ยังคงอยู่กับ นิวคาสเซิ่ล ต่อไป แน่นอนว่า แฟนบอลผิดหวัง ต้องการเปลี่ยน เนื่องจากอยู่ไปก็เหมือนกับไม่มีอะไรดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม การถอนสมอในครั้งนี้ของฝ่ายซาอุฯ มันสะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่าง ที่เชื่อว่าทุกคนคงเห็นเหมือนกันว่า ท้ายที่สุดแล้ว “เหตุผล” ในแถลงการณ์
ไม่ได้รองรับอะไรเลย
งานนี้จะโทษใครก็ไม่ได้ เมื่อ แอชลี่ย์ “พร้อมขาย” แต่คนซื้อต่างหากที่ “ไม่พร้อม”
ไม่ใช่เรื่องของเงินทอง แต่มันไม่พร้อมในเรื่องที่คุณคงเข้าใจได้นั่นเอง……………
บี แหลมสิงห์