‘ชีวาศรม’ สบช่องวิกฤตโควิดต่อยอด ‘เวลเนส ทัวริซึ่ม’ ย้ำจุดแข็ง-สร้างโอกาสประเทศไทยในกลุ่มธุรกิจ “เมดิคอลฮับ” เผยเตรียมขยายฐาน-ลงทุนเพิ่มรับกลุ่มรีไทร์เมนต์-ซิลเวอร์แคร์-แอ็กทีฟเอจจิ้ง พร้อมเพิ่มช่องทางสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ “อาหาร-ดีลิเวอรี่-ออนไลน์” หวังบาลานซ์ความเสี่ยง เชื่ออนาคตเทรนด์สุขภาพแบบองค์รวมทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นแน่นอน
นายกรด โรจนเสถียร ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ชีวาศรม อินเตอร์เนชั่นแนล เฮลท์ รีสอร์ท จำกัด ผู้บริหารรีสอร์ตเพื่อสุขภาพ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากจะทำให้ทั่วโลกรับรู้ถึงศักยภาพในด้านสาธารณสุขของไทยแล้ว ยังทำให้คนทั่วไปตระหนักถึงการดูแลสุขภาพของตัวเอง บริษัทในฐานะผู้นำด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมจึงเตรียมพร้อมในทุก ๆ ด้านเพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ wellness tourism ที่มีแนวโน้มได้รับการตอบรับมากขึ้นตามลำดับ
หนุน Wellness Tourism
โดยที่ผ่านมาบริษัทได้มุ่งเน้นในเรื่องการดูแลสุขภาพของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยฐานลูกค้าส่วนใหญ่ราว 90% เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก แม้ในช่วงที่เกิดการะบาดของไวรัสโควิด นักท่องเที่ยวต่างชาติหยุดการเดินทาง บริษัทก็ยังคงให้บริการด้านสุขภาพให้กับลูกค้าที่อยู่ทั่วโลกผ่านช่องทางออนไลน์ หรือที่เรียกว่า online wellness service ซึ่งเป็นบริการรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตโควิด
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ wellness tourism ของไทย รวมถึงสร้างโอกาสด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศให้มีความโดดเด่นในความเป็นเมดิคอลฮับ (medical hub) ให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลกให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย
“ที่ผ่านมาชีวาศรมรีสอร์ตเรามีรายได้หลักจากให้บริการในรีสอร์ตเป็นหลัก แต่ในช่วงที่เราปิดให้บริการชั่วคราวในช่วงเดือนมีนาคม-กลางเดือนมิถุนายนนั้น ทำให้ได้เรียนรู้ว่าเราไม่ควรหวังรายได้จากช่องทางเดียวเหมือนกันที่ผ่านมา เราจึงได้พัฒนาช่องทางสร้างรายได้ใหม่ ๆ เพิ่มเติม อาทิ การให้บริการสุขภาพออนไลน์ หรือออนไลน์ เวลเนส เซอร์วิส, ให้บริการอาหารเพื่อสุขภาพในรูปแบบดีลิเวอรี่ ในพื้นที่หัวหิน เป็นต้น”
ต่อยอดธุรกิจ “เวลเนส”
นายกรดกล่าวด้วยว่า เพื่อเป็นการบาลานซ์ความเสี่ยงทางธุรกิจ บริษัทจึงวางแผนขยายฐานธุรกิจด้านสุขภาพและอาหารให้มีความหลากหลายขึ้น เพื่อเพิ่มช่องทางการสร้างรายได้ในระยะยาวประกอบด้วย 1.การให้บริการสุขภาพออนไลน์ หรือออนไลน์ เวลเนส เซอร์วิส ในรูปแบบดิจิทัลแพลตฟอร์มโดยเชื่อว่าช่องทางออนไลน์จะทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
2.อาหารเพื่อสุขภาพ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารสุขภาพและเชฟมิชลินสตาร์ เพื่อให้อาหารเพื่อสุขภาพมีรสชาติและหน้าที่ดีขึ้น ซึ่งนอกจากในพื้นที่หัวหินแล้ว บริษัทยังมีแผนขายไปยังพื้นที่อื่น ๆ รวมถึงในกรุงเทพฯ ซึ่งในอนาคตบริษัทจะเพิ่มช่องทางการขายจากรูปแบบดีลิเวอรี่ไปสู่การวางจำหน่ายตามศูนย์การค้าทั่วไปด้วย โดยอาจจะมีพาร์ตเนอร์ในด้านธุรกิจอาหารเข้ามาเสริมเพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้เร็วขึ้น
และ 3.ขยายฐานธุรกิจการศึกษา (โรงเรียนชีวาศรม สุขุมวิท) โดยเปิดคอร์สการสอนออนไลน์ เสริมฐานเดิมที่เปิดสอนคอร์สบริการด้านสุขภาพแบบองค์รวมอยู่แล้ว
“วันนี้เราเห็นชัดเจนแล้วว่าเราต้องกระจายความเสี่ยง ไม่ควรยึดอยู่กับนักท่องเที่ยวต่างชาติเหมือนเดิม ดังนั้นหลังจากที่เรากลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง ตั้งแต่เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเราจะมีโปรดักต์และบริการใหม่ ๆ ออกมาสำหรับกลุ่มคนไทยอย่างต่อเนื่อง”
ขยายสู่กลุ่ม “รีไทร์เมนต์”
นายกรดกล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วไปแล้วขณะนี้ บริษัทยังมีเห็นแนวโน้มที่ดีของนักท่องเที่ยวกลุ่มรีไทร์เมนต์ หรือกลุ่มวัยเกษียณ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและมีขนาดใหญ่ รวมถึงกลุ่มซิลเวอร์แคร์และกลุ่มแอ็กทีฟเอจจิ้ง ซึ่งทุกกลุ่มล้วนให้ความสำคัญในด้านการดูแลสุขภาพตัวเองทั้งสิ้น ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะออกแพ็กเกจมาดูแลกลุ่มดังกล่าวนี้ให้มากยิ่งขึ้นรวมถึงเตรียมการลงทุนสำหรับการพัฒนาพื้นที่อีกราว 1 ไร่ สำหรับพัฒนาโครงการเพื่อรองรับและหาผู้เชี่ยวชาญมาให้บริการกลุ่มดังกล่าวโดยเฉพาะ เนื่องจากกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่นิยมเข้าพักระยะยาวเป็นหลัก
“เจตนารมณ์ในการเปิดให้บริการของชีวาศรมตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อกว่า 20 ปีก่อนคือเรื่องสุขภาพ วันนี้คำว่าสุขภาพกินความหมายกว้างมาก ที่สำคัญทั่วโลกก็มีความเชี่ยวชาญและมีความโดดเด่นในด้านเมดิคอล แอนด์ เวลเนส อยู่ไม่กี่ประเทศ จึงมองว่าเวลานี้ประเทศไทยควรพลิกวิกฤตโควิดให้เป็นโอกาสที่ดีของประเทศ และเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราจะเร่งโปรโมตจุดขายในด้านเวลเนสให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น” นายกรดกล่าว
และว่า ชีวาศรมเชื่อว่าสุขภาพคือหัวใจของชีวิต และสุขภาพที่ดีเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการดำเนินชีวิต และเรื่องสุขภาพจะเป็นที่นิยมต่อไปในอนาคต
หันโฟกัสกลุ่ม “คนไทย”
สำหรับทิศทางการทำการตลาดในช่วงที่ทุกประเทศยังปิดการเดินทางระหว่างประเทศนั้น นายกรดกล่าวว่า ในช่วงที่ประเทศยังไม่เปิดน่านฟ้านี้ ตลาดสำคัญคือ คนไทย ซึ่งบริษัทก็หันมาทำการตลาดด้วยการออกแพ็กเกจมาสำหรับกลุ่มคนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยโฟกัส 3 เรื่องหลักคือ 1.เรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพที่เป็นพื้นฐาน 2.เรื่องของการสร้างภูมิต้านทาน ทำอย่างไรให้ร่างกายห่างไกลจากความเจ็บป่วย และ 3.การออกกำลังกายเพื่อสร้างความสมบูรณ์แข็งแรง
“หัวหินเป็นตลาดคนไทยเที่ยว เราจึงอยากให้นักท่องเที่ยวคนไทยที่เดินทางไปพักผ่อนที่หัวหินได้เปลี่ยนบรรยากาศ ได้เข้าทดลองใช้บริการของชีวาศรม เราจึงเริ่มต้นด้วยการทำแพ็กเกจสั้น ๆ เช่น แพ็กเกจครึ่งวัน ไม่ต้องพักค้างคืนแพ็กเกจ 1 คืน 2 วัน รวมอาหาร 3 มื้อ หรือแพ็กเกจ 2 คืน 3 วัน รวมอาหารวันละ 3 มื้อ ซึ่งก็ได้รับการตอบที่ดีจากกลุ่มลูกค้าคนไทย” นายกรดกล่าว
ปรับใหญ่รอบ 25 ปี
นายกรดกล่าวเพิ่มเติมว่า ชีวาศรมเป็นแบรนด์ไทยที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลกโดยสิ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จตลอด 25 ปี คือ การส่งมอบแบบองค์รวม และที่ผ่านมาได้ลงทุนไปกว่า 800 ล้านบาทสำหรับรีโนเวตรีสอร์ตใหม่ทั้งหมด เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการเข้าสู่เวลเนสมากยิ่งขึ้น และฉลองครบรอบ 25 ปีในปีนี้
โดยปัจจุบันชีวาศรมมีห้องพักทั้งหมดรวม 54 ห้อง แบ่งออกเป็นโซนห้องพักและห้องสวีต และโซนพาวิลเลี่ยน ซึ่งเป็นเรือนไทยแบบร่วมสมัย ล้อมรอบด้วยสวนร่มรื่น และทะเลสาบ มีห้องพัก 2 แบบคือ ไทยพาวิลเลี่ยน และไทยพาวิลเลี่ยน สวีต ส่วนของศูนย์สุขภาพนั้นมีทรีตเมนต์และกิจกรรมให้เลือกกว่า 200 รายการ ภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัด, แพทย์ทางเลือก โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้บริการอยู่กว่า 80 คน