nn เมื่อเศรษฐกิจโลกทรุดตัวอย่างหนัก จากผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 ทำให้สินทรัพย์ทั่วโลกราคาลดลง และจากการที่ธนาคารกลางของทุกประเทศทั่วโลกอัดเม็ดเงินเข้าระบบเพื่อพยุงภาวะเศรษฐกิจซบเซา ทำให้ผลตอบแทนในตลาดเงินตกต่ำลง สินทรัพย์เสี่ยงอื่นโดยเฉพาะหลักทรัพย์ทั่วโลกก็ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจเช่นกัน ทำให้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลวิ่งเข้าหาตลาดสินทรัพย์ปลอดภัย และแน่นอนว่าสินทรัพย์ปลอดภัยที่สุดในยามนี้ก็คือทองคำนั่นเอง ทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี และทำสถิติสูงสุดใหม่มาต่อเนื่อง ซึ่งรวมแล้วราคาทองคำปรับขึ้นมาแล้วกว่า 30% นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 4 สิงหาคม ราคาทองคำ Spot ปรับขึ้นอย่างร้อนแรงร้อนแรงทะลุแนวต้านสำคัญ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,020 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะมีแรงขายทำกำไร ทำให้ราคาอ่อนลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2,013 ดอลลาร์ต่อออนซ์ซึ่งสถานการณ์นี้ส่งผลต่อราคาทองคำในประเทศไทยด้วย โดยเช้าวันที่ 5 สิงหาคม สมาคมค้าทองคำประกาศราคาขายทองคำในประเทศเปลี่ยนแปลง 3 ครั้ง โดยปรับขึ้น 400 บาทต่อบาททองคำ โดยทองคำแท่ง ขายออก 29,450 บาททองรูปพรรณ ขายออก 29,950 บาท
ทั้งนี้นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ปัจจัยที่เข้ามาหนุนราคาทองคำให้สูงขึ้นมาก จากความคืบหน้าในการเจรจามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ วงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐลดลง และเงินดอลลาร์อ่อนค่า ขณะที่กองทุน SPDR ซื้อทองคำต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 โดยซื้อทองคำ 9.35 ตัน
หลังจากที่ราคาทองคำปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ทำให้แนวโน้มราคาทองคำคาดปรับขึ้นต่อเนื่อง โดยมีแนวต้าน 2,030ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีแนวโน้มปรับขึ้นที่แนวต้าน 2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในระยะถัดไป ทั้งนี้ การปรับขึ้นของราคาทองคำที่รวดเร็วต้องระวังแรงเทขายเช่นกัน ขณะที่มีแนวรับที่ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 1,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์ส่วนราคาทองคำในประเทศ นั้นแม้จะขึ้นเคลื่อนไหวที่ 29,450 บาท แต่คาดว่าจะยังไม่ถึง30,000 บาท ในระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจากเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง
ทางด้านนางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทย กล่าวว่า ราคาทองคำในตลาดโลกได้ปรับขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ที่ 2,031 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งราคาที่ปรับขึ้นมาในระดับนี้ถือว่าเป็นการปรับขึ้นมาสูงมาก แต่ทิศทางราคาทองคำยังคงเป็นขาขึ้นเนื่องจากปัจจัยสนับสนุนยังมีอยู่หลายปัจจัยโดยเฉพาะ COVID-19 ที่ส่งผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งล่าสุดพบว่าส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 2 หดตัวถึง -32% นอกจากนี้ ปัจจัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ-จีน ก็ยังคงมีความขัดแย้งกันอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเกิดความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์จากสภาพคล่องที่เกิดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้นักลงทุน ธนาคารกลางหลายประเทศสะสมทองคำมากขึ้น รวมถึงกองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุนขนาดใหญ่ยังคงเข้าซื้อทองคำเป็นปริมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์
อย่างไรก็ตาม YLG แนะนำนักลงทุนควรกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ให้หลากหลายเพราะการลงทุนมีความเสี่ยง โดยมองว่าควรมีสัดส่วนการลงทุนทองคำในพอร์ตลงทุนที่ 5-15% โดยคนที่เริ่มลงทุนควรมีสัดส่วนลงทุนอยู่ที่ 5% และค่อยปรับขึ้น เป็น 10% และ 15% โดยสัดส่วนไม่ควรเกินระดับนี้ เนื่องจากปัจจุบันราคาก็ถือว่าปรับขึ้นมาสูงแล้ว แม้ว่าโอกาสราคายังสามารถปรับขึ้นได้อีก แต่การลงทุนควรมีวินัยและกระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์ที่หลากหลาย และถือทองคำไว้ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ส่วนเป้าหมายราคาทองคำในปีนี้จะปรับขึ้นไปเท่าใดนั้น ปัจจุบันถือว่าคาดการณ์ได้ยากเพราะราคาปรับขึ้นมามากแล้ว ในขณะเดียวกันผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากวิกฤติก็อยู่ในระยะเริ่มต้นเท่านั้น แต่หากมีวัคซีนผลิตออกมาใช้ได้จริงก็อาจส่งผลให้ราคาทองคำปรับลดลงได้ อย่างไรก็ตาม มองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ดังนั้นทองคำจึงยังคงอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น ซึ่งล่าสุดโกลแมน แซคส์ คาดการณ์ว่าภายใน 12 เดือน ราคาทองคำจะปรับไปที่ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งก็มีโอกาสเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม YLG มองเป้าหมายถัดไปที่ 2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือคิดเป็นเงินบาทไทยประมาณ 31,000 บาท
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะสั้นแนะนำให้แบ่งพอร์ตเข้าซื้อหากราคาปรับลดลงมาที่ระดับ 2,000-1,988 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนแนวต้านระยะสั้นจะอยู่ที่ 2,031-2,043 ดอลลาร์ต่อออนซ์ พร้อมตัดขาดทุนหากราคาทองคำหลุด 1,988 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรลงทุนในปริมาณที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ พร้อมกับตั้งจุดตัดขาดทุนทุกครั้งเพื่อจำกัดความเสี่ยง
กระบองเพชร