
จิรัฏฐ์ จันทะเสน อุปนายกสมาคมประวัติศาสตร์ฟุตบอลแห่งประเทศไทย เผย “สมาคมบอล” จะกู้เงินครั้งแรกในรอบ 104 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งสมาคมฯ หากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริง
จากเหตุการณ์ที่ พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สภากรรมการฯ มีมติให้สมาคมกีฬาฟุตบอลกู้ยืมเงินจากภาค “รัฐบาล-เอกชน” เพื่อให้มีงบประมาณหมุนเวียนสำหรับการจัดการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก โดยจะดำเนินการให้เรียบร้อยก่อนไทยลีกจะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 12 กันยายน
ล่าสุด นายจิรัฏฐ์ จันทะเสน อุปนายกสมาคมประวัติศาสตร์ฟุตบอลแห่งประเทศไทย เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า หากการกู้ยืมเงินเกิดขึ้นจริง จะถือเป็นการ “กู้เงิน” ครั้งแรกของสมาคมกีฬาฟุตบอลในรอบ 104 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เลยทีเดียว


“ถ้าหากเกิดขึ้นจริง? คือการ “กู้เงิน” ครั้งแรกในรอบ 104 ปี ของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทยเคยผ่านวิกฤติการเมือง คือเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 และวิกฤติโลก คือสงครามโลก ครั้งที่ 2 พ.ศ.2482-2488 จนทำให้ต้องหยุดกิจกรรมการแข่งขันภายในประเทศนานกว่า 15 ปี
จนเมื่อ “อัศวินม้าขาว” เจ้าพระยารามราฆพ อดีตนายกสมาคมคนแรก (พ.ศ.2459-2462) กลับมาจากประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ.2490 จึงทำการฟื้นฟูคณะฟุตบอลแห่งสยาม (สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ) ให้มีการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่องขึ้นอีกครั้ง ด้วยการขายทรัพย์สินของสมาคมเพื่อนำเงินมาใช้ในการจัดแข่งขันฟุตบอลถ้วยใหญ่และถ้วยน้อย รายการสูงสุดของสมาคม
จนมาถึงยุค “ลุงต่อ” พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ยมนาค เป็นนายกสมาคม เมื่อ พ.ศ.2504 ยังคงมีเงินติดลบในบัญชีของสมาคมฯ ในขณะนั้น FIFA มีกฎห้ามรับเงินสนับสนุนจากสปอนเซอร์ แต่แล้วภายในเวลา 3 ปี สมาคมมีเงินในบัญชี 5 ล้านบาท สืบเนื่องจากทีมชาติไทยสร้างผลงานชนะเลิศฟุตบอลเยาวชนแห่งเอเชีย คนไทยตื่นตัวเข้าดูฟุตบอลกันมากขึ้น ทั้งแมตช์พิเศษและแมตช์นานาชาติ จึงมีรายได้จากค่าผ่านประตูเป็นกอบเป็นกำ จนทำให้ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานถ้วย ประเภท ค และประเภท ง วงการฟุตบอลไทยจึงมีการแข่งขันครบทั้ง 4 ดิวิชั่นแบบอังกฤษ (ถ้วย ก ถ้วย ข ถ้วย ค และถ้วย ง) พร้อมทั้งพระราชทานถ้วยคิงส์คัพ โดยมีถ้วยพระราชทานเป็นถ้วยรางวัลสูงสุดทุกรายการ
ตลอดระยะเวลา 104 ปี ของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จึงยังไม่เคยปรากฏข่าว “กู้เงิน” เพื่อนำมาบริหารจัดการฟุตบอลไทย จึงถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสมาคมฯ โดยเฉพาะองค์กรที่ต่อท้ายว่า “ในพระบรมราชูปถัมภ์” ดังนั้น คณะผู้บริหาร FA THAILAND ชุดปัจจุบัน จึงควรต้องตระหนักอยู่เสมอ เพื่อมิให้เกิดความเสื่อมเสียพระเกียรติและเกียรติภูมิของวงการฟุตบอลไทยครับ”.