“เดซติเนชั่น แคปปิตอล” ผนึกพันธมิตรเข้าลงทุนในโรงแรม-รีสอร์ตในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ประเดิมด้วยกวาดซื้อโรงแรมกลุ่ม 4 ดาวในไทย เผยคัดโครงการที่มีศักยภาพ รีโนเวต ปรับปรุงการบริหาร สร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมรีแบรนด์ให้ขึ้นเป็นแบรนด์โรงแรมระดับโลกเพื่อ หวังฟื้นฟูธุรกิจบริการและท่องเที่ยวไทย
เดซติเนชั่น แคปปิตอล ก่อตั้งขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ โดยกลุ่มธุรกิจลงทุนและบริหารธุรกิจโรงแรมชั้นนำ เดซติเนชั่น กรุ๊ป บริษัทเพื่อการลงทุนและบริหารธุรกิจโรงแรม จับมือพันธมิตรพร้อมเข้าลงทุนในโรงแรมและรีสอร์ตในเอเชีย แปซิฟิก โดยในขั้นต้นจะเน้นซื้อโรงแรมในไทยเป็นหลัก เน้นคัดโครงการที่มีศักยภาพ รีโนเวต ปรับปรุงการบริหารและการตลาดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงรีแบรนด์ให้ขึ้นเป็นแบรนด์โรงแรมระดับโลกเพื่อช่วยฟื้นฟูการทำรายได้ พร้อมตั้งเป้าช่วยฟื้นฟูธุรกิจบริการและท่องเที่ยวไทย
นายเจมส์ แคพแลน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดซติเนชั่น แคปปิตอล จำกัด กลุ่มธุรกิจลงทุนและบริหารธุรกิจโรงแรมชั้นนำ ในเครือเดซติเนชั่น กรุ๊ป เปิดเผยว่า ท่ามกลางการชะลอตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ขณะนี้บริษัทกำลังมองหาสินทรัพย์โรงแรมกลุ่ม 4 ดาวที่มีศักยภาพทั่วประเทศมาพัฒนาและปรับตำแหน่งทางการตลาดใหม่ เพื้อเพิ่มมูลค่าและนำสินทรัพย์มาบริหารต่อ
โดยสินทรัพย์เป้าหมายคือโรงแรมและรีสอร์ตระดับ 4 ดาว ขนาดประมาณ 200 ห้อง ในทำเลชั้นดีในหัวเมืองใหญ่และจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายที่จะทยอยซื้อโรงแรม 4 ดาวเข้าพอร์ตให้ได้รวมทั้งสิ้น 12-15 แห่งภายในอีก 18 เดือนข้างหน้า
นายเจมส์กล่าวว่าบริษัทฯ พร้อมใช้ทักษะและประสบการณ์ยาวนานจากการดำเนินธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตทั่วโลก รวมถึงการสนับสนุนจากเดซติเนชั่น กรุ๊ป และเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อดึงกองทุนร่วมทุนและกิจการร่วมลงทุนต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ให้เข้ามาร่วมลงทุนซื้อสินทรัพย์เป้าหมาย และปรับปรุงสินทรัพย์และตำแหน่งทางการตลาดให้เหมาะสมกับตัวโครงการ รวมถึงการบริหารสินทรัพย์โรงแรมทั้งในและภูมิภาคเอเชีย
“ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ในปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนประเทศไทยเกือบ 40 ล้านคน ถึงแม้ว่าตัวเลขคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 2563 นี้ล่าสุดจะลดลงเหลือเพียง 8 ล้านคน และ 7 ล้านคน จากจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือนประเทศไทยตั้งแต่ก่อนปิดน่านฟ้าเพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิดก็ตาม”
นายเจมส์กล่าวด้วยว่า ธุรกิจการบินและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงจากวิฤติการณ์โรคระบาดโควิดในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ซึ่งพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 18% ของจีดีพี และวิกฤตในครั้งนี้ส่งผลให้มีคนตกงานเพิ่มขึ้นนับล้านคน และโรงแรมจำนวนหลายพันห้องจำต้องปิดกิจการ ส่งผลให้เกิดความต้องการแหล่งเงินทุนอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ธุรกิจสามารถเปิดกิจการได้อีกครั้ง
รวมถึงสามารถจ้างงานบุคลากรที่ถูกเลิกจ้างไปก่อนหน้านี้ ตลอดจนใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการต่อไปได้ภายใต้ภาวะซบเซา ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นตรงกันว่าสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะยืดเยื้อไปจนกว่าจะมีวัคซีนออกมาใช้งานได้และธุรกิจการบินสามารถกลับเปิดเส้นทางการบินได้เป็นปกติ
“แม้ว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะยังคงอยู่ในสภาพซบเซา และใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการฟื้นตัว จากวิกฤติการณ์ในอดีตที่มีผลกระทบการท่องเที่ยวไทยมาหลายต่อหลายครั้ง จะเห็นได้ว่าการท่องเที่ยวไทยสามารถที่จะฟื้นตัวกลับมาได้ และยังแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกรอบ อีกทั้งยังสามารถยืนหยัดต้านแรงเสียดทานจากวิกฤติต่างๆได้ดีขึ้น” นายเจมส์กล่าวและว่า บริษัทฯ เชื่อว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยจะสามารถกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้งเช่นเคย โดยน่าจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ปีกลับสู่ภาวะฟื้นตัวเต็มที่
“เราสามารถใช้ทรัพยากรทั้งหลายที่มีอยู่จากความเชี่ยวชาญของเราที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้มายาวนาน เข้ามาใช้ในการปรับปรุงกิจการเหล่านี้ให้กลายเป็นสินทรัพย์ชั้นดีและพร้อมดำเนินกิจการให้เดินเต็มสูบได้ทันพอดีกับช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว” นายเจมส์กล่าว พร้อมย้ำอีกว่าทีมผู้บริหารของบริษัทมีความพร้อมทั้งประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตอย่างครบถ้วนทุกมิติ โดยทางทีมมีผลงานในการฟื้นฟูกิจการโรงแรมในประเทศไทยมานานกว่า 24 ปี