21 กรกฎาคม 2563
| โดย บุษกร ภู่แส
75
แม้ว่า สิงห์ เอสเตท บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในเครือบุญรอดบริวเวอรี่ จะกระจายความเสี่ยงรอบด้าน แต่ก็ยังหนีไม่พ้นผลกระทบจากโควิด-19 โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่เป็น “เรืงธง”ในการสร้างรายได้แบบต่อเนื่อง จึงต้องพลิกโมเดลในรูปแบบมิกซ์ยูส รับจ้างบริหาร
สิงห์ เอสเตท บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในเครือบุญรอดบริวเวอรี่ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2538 มีโครงสร้างธุรกิจอสังหาฯครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรม ที่พักอาศัย และอาคารสำนักงาน ในปี 2562 ยังได้จัดตั้งกองทรัสต์ SPRIME สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงานขึ้น และนำธุรกิจโรงแรมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยใช้ชื่อว่า บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน)หรือSHRเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางด้านการเงินและสร้างการเติบโตในระยะยาว
ทว่าเมื่อเกิดวิกฤติโควิด-19 แม้ธุรกิจจะกระจายความเสี่ยงด้วยรอบด้าน แต่ก็ยังหนีไม่พ้นผลกระทบจากโควิด โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่เป็น “เรืงธง” ในการสร้างรายได้แบบต่อเนื่อง (recurring incom)
นริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากเดิมบริษัทเคยประเมินสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวม ว่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ประมาณ10-15% จึงปรับเป้ารายได้รวมในปี 2563 จากที่วางไว้ 20,000 ล้านบาท เหลือ 18,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินสถานการณ์โควิดล่าสุด เห็นว่าผลกระทบน่าจะเกินกว่าที่คาด จึงได้ปรับลดเป้ารายได้ในปีนี้ลงอีก 50% จาก 18,000 ล้านบาท เหลือประมาณ 9,000 ล้านบาทเป็นครั้งแรกในรอบ5 ปี โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจอสังหาฯ 5,000 ล้านบาท ที่เหลือมาจากอาคารสำนักงานที่ไม่ได้อยู่ในกอง REITและโรงแรม
“การปรับแผนนั้นปีนี้ถือเป็นการผ่อนเกียร์ เพื่อหลบหลีกถนนที่ไม่ดี แต่ขณะเดียวกันเราก็เห็นว่าสถานการณ์แบบนี้จะเป็นแค่ชั่วคราว แล้วทุกอย่างกลับมาปกติสามารถขับต่อไปได้ ระหว่างนี้เราปรับตัวเองให้แข็งแรง ภายในองค์กรจะต้องปรับกระบวนการทำงานควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยเราไม่ได้ลดคน เลิกจ้างพนักงาน”
นริศ ยังกล่าวว่า การเปลี่ยนแผนครั้งถือเป็น “ไมเนอร์เจน” เพราะเป็นการปรับให้สอดคล้องกับวิถีที่เปลี่ยนไป(New Normal)โดยบริษัทยังคงมองเห็นโอกาสในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่จะขยายตัวออกจากเมืองไปยังทำเลใหม่ๆ ตามการขยายตัวของระบบขนส่งมวลชนและโครงข่ายถนน ซึ่งจะเป็นโครงการแนวราบในรูปแบบผสมผสาน (มิกซ์ยูส) ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม รีเทล ออฟฟิศแนวราบ ตลอดจนโครงการที่อยู่อาศัยแบบ Wellness จะเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้น
ในส่วนธุรกิจอาคารสำนักงาน คาดว่าในอนาคตจะยังคงมีความต้องการพื้นที่สำนักงานอยู่ในรูปแบบต่างๆ โดยบริษัทฯ พร้อมนำเสนอพื้นที่สำนักงานรูปแบบใหม่ “Workspace Solution” โดยมีหลายรูปแบบและหลายทำเล ทั้งอาคารขนาดใหญ่ อาคารขนาดกลาง ออฟฟิศแนวราบ ตลอดจนโคเวิร์คกิ้งสเปซ ในทำเลใหม่ โดยจะเปิด เวิร์คกิ้งสเปซ คอนเซ็ปต์ใหม่ในปลายปีนี้ ที่อาคารซันทาวเวอร์ส
ขณะที่บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน)หรือSHR จะเน้นการสร้างพอร์ตโฟลิโอคุณภาพ ด้วยภายใต้กลยุทธ์ควบรวมกิจการหรือซื้อและควบรวมกิจการ (Smart Mergers and Acquisitions : M&A )และใช้โมเดลรับจ้างบริหารแทนการลงทุนสร้างโรงแรมเอง เพื่อช่วยลดเงินลงทุน (Asset Light Model) ในการขยายธุรกิจโรงแรมตามเป้าหมายระยะยาวที่กำหนดไว้ โดยเชื่อว่าการท่องเที่ยวจะค่อยฟื้นตัวในไตรมาส 4 ของปีนี้ เริ่มจากในประเทศไทย และกลุ่มประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดี และควบคุมอัตราผู้ติดเชื้อได้ดี ในช่วงวิกฤตแม้ว่าธุรกิจโรงแรมจะได้รับผลกระทบมาก แต่โอกาสทางธุรกิจก็เกิดขึ้นเช่นกัน
นริศ ประเมินว่า โควิดจะผ่านไปภายในปีนี้และทุกอย่างกลับมาสู่โหมดเดิมมีการแข่งขันเหมือนเดิม ในส่วนของโรงแรมมีการเปิดให้บริการแล้วไม่ว่าพีพี สมุย ภูเก็ต มัลดีฟส์แต่แขกน้อยต้องใช้เวลา ในส่วนของโครงการแนวสูงยังคงมีอแผนจะลงทุนต่อ แต่ต้องรอดูความเหมาะสมเพราะตลาดคอนโดเริ่มอืด ส่วนโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูสจะทำทั้งในรูปแบบแนวสูงและแนวราบ เพราะมีทีมงานทั้งในส่วนของอาคารสำนักงานและโรงแรม ที่มีความเชี่ยวชาญพร้อมเข้ามาสนับสนุนรวมถึงรีเทลด้วย
โดยบริษัทยังคงยึดแนวทางการลงทุน ตามแผน5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2563-2567 ภายใต้งบลงทุน 68,000 ล้านบาทสำหรับธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก ยังคงตั้งเป้าขยายพื้นที่สำนักงาน 300,000 ตารางเมตรในระยะเวลา 5 ปี
ในส่วนธุรกิจโรงแรม จะเน้นการกระตุ้นยอดขายตลาดนักท่องเที่ยวในประเทศ และประเทศในกลุ่มภูมิภาคเดียวกัน โดยมีแผนลงทุนในกลุ่มเอเชียแปซิฟิก จาก 39 โรงแรมเป็น 80 โรงแรมภายใน5 ปี รวมทั้งการลงทุนในธุรกิจพลังงานทางเลือก โดยโครงการแรกที่จะเริ่มอยู่ที่ประเทศมัลดีฟส์ มีขนาด 5 เมกะวัตต์ ที่สามารถนำไปต่อยอดกับธุรกิจโรงแรมได้ในอนาคต เช่น การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป