ธนาคารกรุงศรีอยุธยา รายงานผลการดำเนินงวดครึ่งปีแรก 63 มีกำไรสุทธิ 13.5 พันล้านบาท ลดลง 31.4% ตั้งสำรองเพิ่ม 4.3 พันล้านบาท รับเศรษฐกิจชะลอ รายได้ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดฮวบ 40.3% เหตุกิจกรรมธุรกิจรายย่อยซบเซา
นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า รายงานผลการดำเนินงานช่วงครึ่งแรกปี 2563 มีกำไรสุทธิ 13.5 พันล้านบาท ลดลง 31.4% เทียบปี 2562 ซึ่งมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้นจำนวน 50% ของบริษัท เงินติดล้อ จำกัด ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 กำไรสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ลดลง 2.9% หรือจำนวน 0.4 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2562 โดยปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าเผื่อการขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 4.3 พันล้านบาท ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และนโยบายการตั้งสำรองด้วยความรอบคอบระมัดระวังในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวรุนแรง
โดยสรุปผลประกอบการและฐานะการเงินที่สำคัญสำหรับครึ่งปีแรกของปี 2563
กำไรสุทธิ: จำนวน 13.5 พันล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563
เงินให้สินเชื่อ: เพิ่มขึ้น 2.0% หรือจำนวน 36.9 พันล้านบาท จาก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากมาตรการสนับสนุนเพื่อตอบสนองความต้องการเงินทุนหมุนเวียนของกลุ่มลูกค้าธุรกิจ โดยเฉพาะการเสริมสภาพคล่องภายใต้โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่กลุ่มลูกค้า SME ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 สินเชื่อลูกค้าธุรกิจและสินเชื่อลูกค้า SME เพิ่มขึ้น 4.3% และ 3.3% ตามลำดับ ขณะที่สินเชื่อลูกค้ารายย่อยปรับลดลง 0.1%
เงินรับฝาก: เพิ่มขึ้น 8.4% หรือจำนวน 131.8 พันล้านบาท จาก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 สอดคล้องกับอุตสาหกรรมธนาคารทั้งระบบ
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM): อยู่ที่ 3.74% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 เทียบกับ 3.69% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 เนื่องจากต้นทุนทางการเงินปรับลดลง
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย: ลดลง 40.3% หรือจำนวน 10.7 พันล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปี 2562 เนื่องจากไม่มีการบันทึกกำไรจากการลงทุนเหมือนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 และการปรับลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ ซึ่งเป็นผลจากกิจกรรมทางธุรกิจของลูกค้ารายย่อยที่ซบเซาตามสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว หากไม่รวมรายการพิเศษที่บันทึกในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 11.7% หรือจำนวน 2.1 พันล้านบาท
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้: อยู่ที่ระดับ 41.4% เทียบกับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานตามปกติในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 45.4% สะท้อนการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายเชิงรุกเพื่อให้สอดคล้องกับปัจจัยแวดล้อมในการดำเนินงานที่ไม่เอื้ออำนวยในปัจจุบัน
อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio): อยู่ที่ระดับ 2.20% เทียบกับ 1.98% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562
อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้: อยู่ที่ระดับ 156.2% เทียบกับ 163.8% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562
อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง: อยู่ที่ 16.61%
นายเซอิจิโระ กล่าวว่า การชะลอตัวอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งมาตรการล็อคดาวน์ในประเทศจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหดตัวลงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ เป็นที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับภาวะถดถอยมากที่สุดในปี 2563
“ในฐานะธนาคารที่มีความสำคัญเชิงระบบ กรุงศรีได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อยที่ประสบปัญหาการเงิน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 เงินให้สินเชื่อภายใต้มาตรการช่วยเหลือลูกค้าของกรุงศรีอยู่ที่ประมาณ 29% ของเงินให้สินเชื่อรวม ซึ่งได้ให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้ารายย่อย 1,792,820 ราย และลูกค้าธุรกิจ 36,490 ราย ทั้งนี้ ธุรกิจ SME ได้รับผลกระทบมากที่สุดในกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ซึ่งนอกเหนือจากการให้ความช่วยเหลือตามมาตรการข้างต้นแล้ว ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้า SME กว่า 5,700 รายด้วยวงเงินสินเชื่อเพิ่มจำนวน 18,312 ล้านบาท เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องภายใต้โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารออมสิน”
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในปี 2563 นายอาคิตะกล่าวว่า แม้ว่ารัฐบาลไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งได้เปิดระบบเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไปด้วยความระมัดระวัง แต่ความเปราะบางและความไม่แน่นอนยังคงเป็นปัจจัยท้าทาย คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2563 ถูกปรับลดเป็นหดตัว 10.3% เทียบกับที่คาดว่าจะหดตัว 5.1% ในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากการแพร่ระบาดได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อการบริโภคภายในประเทศและการลงทุน และยังกระทบต่อการส่งสินค้าและบริการไปต่างประเทศด้วย
ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ธนาคารจะดูแลและบริหารจัดการในเรื่องคุณภาพของสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง เพื่อให้มั่นใจทั้งในด้านความปลอดภัยและความแข็งแกร่ง ขณะที่กรุงศรีจะยังคงให้การสนับสนุนลูกค้าและกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมอย่างต่อเนื่อง
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าของไทยด้านสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินฝาก และเป็นหนึ่งในห้าสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.85 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.70 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.51 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 271.91 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 16.61% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 11.77%